สุจิตตรา วรรณิกร (https://www.gotoknow.org/posts/556993 )
ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(Behaviorism)
ไว้ว่า
พฤติกรรมนิยมมองผู้เรียนเหมือนกับ
กระดานชนวนที่ว่างเปล่าผู้สอนเตรียม ประสบการณ์ให้กับผู้เรียน
เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้เรียน อาจ กระทำซ้ำจนกลายเป็นพฤติกรรม
ผู้เรียนทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับฟังและจะไม่ทำการคิดริเริ่มหา
หนทางด้วยตนเองต่อการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่ง ต่างๆ
ให้ดีขึ้น
ทฤษฎีการเชื่อมโยงธอร์นไดค์
1 กฎแห่งความพร้อม
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้เรียนมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ
2 กฏแห่งการฝึกหัด การกระทำบ่อย ๆ
ทำให้เกิดความรู้ที่คงทน
3 กฏแห่งการใช้
การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
4 กฎแห่งผลที่พึงพอใจ
ทำให้อยากเรียนรู้ต่อไป
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของวัตสัน
สรุป 1 พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดขึ้นได้
โดยการควบคุมสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ
2 เมื่อสามารถทำให้เกิดพฤติกรรมใด
ๆ ได้ ก็สามารถลดพฤติกรรมนั้นให้หายไปได้
ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์
สรุป
1 กฏแห่งสมรรถภาพในการตอบสนอง
2 กฏแห่งการลำดับกลุ่มนิสัย
3
กฏแห่งการใกล้จะบรรลุเป้าหมาย
apinyaเป้ย karikan (https://www.gotoknow.org/posts/201068 )
ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(Behaviorism)
ไว้ว่า
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
เน้นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยการเชื่อมโยงระหว่าง สิ่งเร้า (Stimulus-คือสิ่งที่ทำให้เกิดพฤติกรรม) และการตอบสนอง (Response - ตัวพฤติกรรม)
โดยอินทรีย์จะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองอันนำไปสู่ความสามารถในการแสดงพฤติกรรม
คือ เกิดการเรียนรู้นั่นเอง ซึ่งจะเน้นเกี่ยวกับสิ่งที่สังเกตได้เท่านั้น
ในการเรียนรู้ความจริงกลุ่มนี้ก็สนใจเกี่ยวกับกระบวนการคิดและปฏิกิริยาซึ่งเกิดขึ้นภายในเหมือนกัน
แต่ว่ายากแก่การสังเกตและรู้สึกว่ามิใช่เป็นข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงสนใจเฉพาะสิ่งที่สังเกตได้เท่านั้น
การที่กลุ่มนี้ให้ความสนใจกระบวนการคิดซึ่งเกิดขึ้นภายในและปฏิกิริยาของผู้เรียนน้อยเพราะศึกษาทดลองโดยสัตว์ชั้นต่ำ
เช่น หนู เป็นต้น ผู้นำที่สำคัญของกลุ่มนี้ เช่น พาพลอฟ (Ivan Pavlov) ธอร์นไดค์ (Edward Thondike) และ สกินเนอร์ (B.F
Skinner) พื้นฐานความคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยมคือสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม
แนวคิดที่สำคัญเกี่ยวกับทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
1.
พฤติกรรมทุกอย่างที่เกิดโดยการเรียนรู้และสามารถสังเกตได้
2.
พฤติกรรมแต่ละชนิดเป็นผลรวมของการเรียนรู้ที่เป็นอิสระหลายอย่าง
3. แรงเสริม(Reinforcement)
ช่วยทำให้พฤติกรรมเกิดขึ้นได้
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมแบ่งพฤติกรรมมนุษย์ออกเป็น
2 กลุ่ม
1. Respondent
Behavior หมายถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยสิ่งเร้า
เมื่อมีสิ่งเร้าตอบสนองก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสามารถสังเกตได้ อธิบายได้โดย ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค
(Classical Conditioning Theory)
2. Operant
Behavior เป็นพฤติกรรมที่บุคคลหรือสัตว์แสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมา (Emitted)
โดยปราศจากสิ่งเร้าที่แน่นอน และพฤติกรรมนี้มีผลต่อสิ่งแวดล้อม
อธิบายได้โดยทฤษฎี Operant Conditioning Theory
ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(Behaviorism)
ไว้ว่า
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยมเน้นการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า
(Stimulas)
และ การตอบสนอง (Response) โดยอินทรีย์จะต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้าและ
การตอบสนองอันนำไปสู่ ความสามารถในการแสดงพฤติกรรม คือการเรียนรู้นั่นเอง
ผู้นำที่สำคัญของ กลุ่มนี้ คือ พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) ธอร์นไดร์
(Edward Thorndike) และสกินเนอร์ (B.F.Skinner)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก (Classical
Conditioning)
ผู้ที่ทำการศึกษาทดลองในเรื่องนี้ คือ
พาฟลอฟ ซึ่งเป็นนักสรีระวิทยาชาวรัสเซีย เขาได้ทำการศึกษาทดลองกับสุนัขให้
ยืนนิ่งอยู่ในที่ตรึงใน ห้องทดลอง
ที่ข้างแก้มของสุนัขติดเครื่องมือวัดระดับการไหลของน้ำลาย การทดลองแบ่งออกเป็น 3
ขั้น คือ ก่อนการวางเงื่อนไข (Before Conditioning) ระหว่างการวางเงื่อนไข (During Conditioning) และ
หลังการวางเงื่อนไข (After Conditioning) อาจกล่าวได้ว่า
การเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค คือ การตอบสนอง ที่เป็นโดยอัตโนมัติเมื่อนำ
สิ่งเร้าใหม่มาควบคุมกับสิ่งเร้าเดิม เรียกว่า พฤติกรรมเรสปอนเด้นท์ (Respondent
Behavior) พฤติกรรมการเรียนรู้นี้เกิดขึ้นได้ทั้งกับมนุษย์และสัตว์
คำที่พาฟลอฟใช้อธิบายการทดลองของเขานั้น ประกอบด้วยคำสำคัญ ดังนี้
- สิ่งเร้าที่เป็นกลาง (Neutral
Stimulus) คือ สิ่งเร้าที่ไม่ก่อให้เกิดการตอบสนอง
- สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไขคือ
สิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนองได้ตามธรรมชาติ
- สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขคือ
สิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนองได้หลังจากถูกวางเงื่อนไขแล้ว
- การตอบสนองที่ไม่ได้ถูกวางเงื่อนไข
คือการตอบสนองที่เกิดขึ้น ตามธรรมชาติ
-การตอบสนองที่ถูกวางเงื่อนไข คือ
การตอบสนองอันเป็นผลมาจาก
สรุปทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
พฤติกรรมนิยมมองผู้เรียนเหมือนกับ
กระดานชนวนที่ว่างเปล่าผู้สอนเตรียม ประสบการณ์ให้กับผู้เรียน
เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้เรียน อาจ กระทำซ้ำจนกลายเป็นพฤติกรรม
ผู้เรียนทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับฟังและจะไม่ทำการคิดริเริ่มหา
หนทางด้วยตนเองต่อการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่ง ต่างๆ
ให้ดีขึ้น
แนวคิดที่สำคัญเกี่ยวกับทฤษฎีพฤติกรรมนิยม
1.
พฤติกรรมทุกอย่างที่เกิดโดยการเรียนรู้และสามารถสังเกตได้
2.
พฤติกรรมแต่ละชนิดเป็นผลรวมของการเรียนรู้ที่เป็นอิสระหลายอย่าง
3. แรงเสริม(Reinforcement)
ช่วยทำให้พฤติกรรมเกิดขึ้นได้
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมแบ่งพฤติกรรมมนุษย์ออกเป็น
2 กลุ่ม
1. Respondent
Behavior หมายถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นโดยสิ่งเร้า
เมื่อมีสิ่งเร้าตอบสนองก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสามารถสังเกตได้ อธิบายได้โดย
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning Theory)
2. Operant
Behavior เป็นพฤติกรรมที่บุคคลหรือสัตว์แสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมา (Emitted)
โดยปราศจากสิ่งเร้าที่แน่นอน และพฤติกรรมนี้มีผลต่อสิ่งแวดล้อม
อธิบายได้โดยทฤษฎี Operant Conditioning Theory
อ้างอิง
สุจิตตรา วรรณิกร. [online].(https://www.gotoknow.org/posts/556993).
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม.
เข้าถึงเมื่อ 4 กันยายน 2558.
apinyaเป้ย karikan.
[online].(https://www.gotoknow.org/posts/201068).
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม.
เข้าถึงเมื่อ 4 กันยายน 2558.
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม.
เข้าถึงเมื่อ 4 กันยายน 2558.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น